จิตสาธารณะกับเรื่องการบิน
จิตสาธารณะกับเรื่องการบินในสมัยก่อน เมืองไทยของเราได้รับการชื่นชมว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม เพราะผู้คนมีจิตใจดี โอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ นักท่องเที่ยวในสมัยแรกๆชอบมาเมืองไทยเพราะนอกจากอาหารอร่อยไม่แพง ทะเลสวย เรื่องน้ำจิตน้ำใจของผู้คนก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างนึงที่ดึงดูดผู้คนทั่วโลกมาเที่ยวเมืองไทย ธุรกิจการท่องเที่ยวและสายการบินในบ้านเราก็ได้จุดขายตรงนี้มานำเสนอและสร้างรายได้ให้แก่บริษัทและประเทศของเรา
วันเวลาผ่านไป แนวโน้มเริ่มเปลี่ยน คนไทยกันเองโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆเริ่มเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น เริ่มแย่งชิงทรัพยากรอันมีจำกัด ทุกอย่างต้องใช้เงินหรืออำนาจพิเศษแลกมา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเสียสละเหมือนสมัยก่อนเริ่มกลายเป็นเรื่องประหลาดในสังคมออนไลน์จนกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจกดไลค์กันเพียบเวลาถูกใครนำมาแชร์ให้อ่านกัน
ผมเชื่อว่ามีอยู่หลายครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่ปู่ย่าตายายยังสอนให้ลูกหลานมีจิตสาธารณะ (PUBLIC MIND) นั่นคือเห็นแก่ประโยชน์และความสงบสุขส่วนรวมก่อนประโยชน์ส่วนตน แต่ก็มีอีกเยอะที่สอนลูกสอนหลานให้เอาตัวรอดและตักตวงประโยชน์ส่วนตนกันอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงส่วนรวมเลย ยกตัวอย่างที่เกิดกับผมเอง ผมเคยใช้บริการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์บ่อยครั้งกับเพื่อนๆเวลาเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างแดน ในห้องจะมีจานชามหม้อไหแก้วน้ำให้เราใช้งาน ผมมักจะล้างจานชามแก้วเสมอหลังใช้งานเพราะคิดว่าเราใช้เองและเดี๋ยวก็กลับมาพักที่ห้องอีก จะทิ้งไว้ให้พนักงานทำความสะอาดทำทำไม สงสารเค้า หรือถ้าพนักงานจะเอาไปล้างอีกรอบก็ดี จะได้สะอาดขึ้น พอเพื่อนผมเห็นผมทำอย่างนี้ กลับด่าว่าผมจะโง่ไปล้างทำไมทำไมเดี๋ยวพนักงานทำความสะอาดห้องก็ต้องทำให้ แล้วก็พูดกับผมว่า “จ่ายเงินค่าห้องไปแล้ว จะทำเองทำไม ให้มันทำสิ” นี่แหละคนในยุคไอทีที่เค้าว่ามันศิวิไลซ์ คิดแต่ว่าใช้เงินซื้อได้ทุกอย่าง แต่ไม่ใคร่จะมีจิตสาธารณะกัน
วกกลับมาเรื่องการบิน ที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะทุกวันนี้ปัญหามันเกิดขึ้นเยอะ ผู้โดยสารทุกท่านที่จ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบินมีความคาดหวังว่าจะต้องได้รับการบริการที่ดีสมราคา ส่วนใหญ่ยินดีที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงานต้อนรับทั้งภาคพื้นและบนเครื่องบินเพื่อความปลอดภัยระหว่างเที่ยวบิน แต่ก็มีหลายท่านที่ไม่ใช่ คิดแต่ว่าจ่ายเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่นที่ร่วมเดินทาง ยกตัวอย่างเช่น กระเป๋าหรือสัมภาระที่อนุญาตให้นำติดตัวไม่ต้องโหลดในห้องสัมภาระด้านล่างของเครื่อง ที่เรียกกันว่า CABIN BAGGAGE แต่ละสายการบินก็ได้แจ้งให้ผู้โดยสารทุกท่านทราบแล้วว่า จะต้องมีขนาดและน้ำหนักสัมภาระไม่เกินเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลทางความปลอดภัยและพื้นที่เก็บสัมภาระภายในเคบินมีจำกัด แต่ก็ไม่วายมีมนุษย์ป้าที่ดื้อดึงหรือแกล้งมึนนำเอาสัมภาระขนาดใหญ่มากที่เกินลิมิตขึ้นเครื่องมา พนักงานภาคพื้นที่คอยดูแลเรื่องนี้ก็กระอักกระอ่วน ไม่กล้าเตือนหรือห้ามเพราะรู้กันอยู่ว่ามนุษย์ป้าเมืองไทยนี่เหลือกำลังจะต่อกร มันก็เลยหลุดรอดจนเข้ามาที่เครื่องบิน สร้างความลำบากให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินต้องคอยจับกระเป๋าที่ผิดขนาดเหล่านี้ลงไปโหลดใต้ท้องเครื่อง และถูกผู้โดยสารต่อว่าก็มีบ่อยครั้ง
ที่มันกระทบต่อไปก็คือ พอต้องเอากระเป๋าที่น้ำหนักหรือขนาดใหญ่เกินเหล่านี้ลงไปโหลดใต้ท้องเครื่องบิน มันก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการยกกระเป๋าลงไป กว่าที่เจ้าหน้าที่จะจับมันใส่เข้าไปในคาร์โก้อีก กว่าจะคุยกับผู้โดยสารเหล่านี้ให้สบายใจได้ว่าสัมภาระของท่านไปกับท่านแน่ๆไม่ต้องห่วง ก็เสียเวลาไปอีกหลายสิบนาที จนเครื่องบินต้องเสียเวลาออกเดินทาง นี่ยังไม่รวมถึงเวลาที่ตัวผู้โดยสารเองเดินเข้าไปในเครื่อง ต้องมองหาที่เก็บสัมภาระให้เหนื่อยใจเพราะกระเป๋าแต่ละใบใหญ่ยักษ์อลังการจนไม่มีที่จะเก็บ สรุปแล้วเดือดร้อนกันทั่วหน้าทั้งผู้โดยสารและผู้ให้บริการ นี่ไม่ใช่เพราะมนุษย์ป้าเหล่านี้ไม่มีจิตสาธารณะหรอกหรือ
จึงอยากจะใคร่วิงวอนท่านผู้โดยสารที่ใช้บริการเดินทางด้วยเครื่องบินทุกท่านได้โปรดพิจารณาและใตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดีเถิด กระเป๋าใบเขื่องๆถ้าอยู่บนช่องเก็บสัมภาระด้านบนศีรษะของท่าน มันหนักหรือใหญ่เกินกว่ากำหนด หากมันบังเอิญหล่นใส่ศีรษะของท่านหรือน้องๆพนักงานต้อนรับ คอคงจะย่นเป็นแน่ หรือหากเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุ กระเป๋าน้ำหนักเกินหรือขนาดใหญ่มากๆเหล่านี้อาจจะกำหนดชะตาชีวิตของท่านเลย เพราะมันอาจจะหล่นลงมาเกะกะไปหมดจนไม่สามารถออกจากเครื่องบินได้อย่างรวดเร็ว
ช่วยๆกันแชร์หน่อยนะครับ ช่วยกันยกระดับจิตสาธารณะของคนไทยขึ้นมาอีกนิด ทุกชีวิตจะปลอดภัย
-------------------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น