ง่วง :<
เรื่องเศร้าในวงการบินเกิดขึ้นอีกแล้ว ขอส่งใจไปช่วยภาวนาให้ทุกชีวิตบนเที่ยวบิน QZ 8501 ปลอดภัยทุกคน ตราบใดที่ยังไม่เจอเครื่องบิน ก็ยังมีหวังครับ
พอกลับมาบินเครื่องใหญ่ขึ้นในตอนนี้ รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างแรง มันจะมีเที่ยวบินข้ามคืนแบบอดหลับอดนอนบ่อยขึ้น อารมณ์นี้ไม่เกิดมานานแล้ว ต้องปรับตัวสักพัก ที่แน่ๆก่อนไปบินไฟลท์ที่ออกเที่ยงคืนตีหนึ่ง ผมต้องพยายามงีบหลับในช่วงบ่ายหรือเย็นให้ได้ก่อนสักนิด เพื่อความสดชื่นและพร้อมสำหรับเวิร์คโหลดสูงในช่วงนำเครื่องบินขึ้น ถ้าวันไหนหลับไม่ได้เลย ก็แย่หน่อย เพราะกว่าจะบินขึ้นต้องฝืนตัวเองไม่ให้ง่วง ทำยังงัยหละ ก็ต้องพึ่งกาแฟร้อนๆ ผ้าร้อน น้ำเย็น สลับกันไปตามแต่เหตุการณ์
พอเครื่องบินขึ้นมาแล้ว เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะลงจอด ระหว่างนั่งอยู่ในค๊อกพิท ก็พยายามทำตัวให้ไม่ง่วง แต่มันก็ยากเหลือเกิน บางเที่ยวบินที่มีชั่วโมงบินมากๆ จะใช้นักบินมากกว่าสองคน ก็ค่อยยังชั่ว ผลัดกันมานั่งเฝ้าค๊อกพิท คอยพูดวิทยุ และมอนิเตอร์การบิน แต่ถ้ามีแค่สองคน อันนี้ก็เหนื่อยและง่วงมากหน่อย หาหัวข้อมาสนทนากันระหว่างบินก็พอช่วยได้บ้าง พอหยุดคุยก็ง่วงอีก เปลี่ยนเป็นขออะไรมาดื่มมาทานแก้ง่วง ลูกเรือ(Cabin Crew) ก็หมั่นเข้ามาถามไถ่เสมอ นัยว่ากลัวนักบินจะหลับทั้งคู่ หารู้ไม่พวกผมผลัดกันสัปหงกเป็นพักๆ โชคดีที่เครื่องบินสมัยนี้มีเครื่องช่วยเตือนมากมาก หากมีอะไรผิดปกติมันก็จะส่งเสียงแหกปากเตือนพร้อมกับส่องแสงวาบๆให้นักบินตื่นจากภวังค์มาแก้ไขปัญหากัน ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่านักบินจะหลับจนปล่อยท่านผู้โดยสารให้วังเวงนะครับผม
พอบินมาใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง นักบินก็จะกลับเข้าสู่โหมดต่อสู้อีกครั้ง คราวนี้ต้องเอาเครื่องบินลงจอดบนรันเวย์ ณ สนามบินปลายทางอย่างปลอดภัย แต่ด้วยความที่ง่วงมาทั้งคืน ความสดชื่นมันไม่เต็มร้อย ดังนั้นการทำอะไรก็ตามเราก็ต้องช่วยกันดูกันเตือนเยอะหน่อย ถ้ามีนักบินที่สามอีกคนจะช่วยได้มาก บางครั้งลืมนู่นลืมนี่ นักบินที่นั่งอยู่ด้านหลังจะเป็นปราการด่านสุดท้ายคอยเตือนเราได้ดีมาก วันไหนท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศดี ลมสงบ ก็โชคดีไป แต่มันจะไม่ค่อยเป็นอย่างนั้นครับผม บินไปญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป จีน อาจจะต้องเจอหิมะตก พายุฝน หรือลมกระโชกแรงให้ต้องระมัดระวัง คราวนี้หล่ะตื่นเลย เพราะกลับมาเครียดแทน
ผมเคยมีประสบการณ์เฉียดเรื่องอย่างนี้มาบ้าง ครั้งหนึ่งบินไปลงสนามบินคิมโป กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เป็นเที่ยวบินออกจากกรุงเทพเที่ยงคืน จะมาถึงคิมโปในตอนเช้าตรู่ ตอนนั้นผมยังเป็นนักบินผู้ช่วย กัปตันท่านเป็นคนบิน(Pilot flying) ผมพูดวิทยุและมอนิเตอร์(Pilot monitoring) ระหว่างจะลงจอด ปรากฏว่าสแล็ท (Slat) ซึ่งปกติต้องถูกกางออกมาก่อนลงจอดมันไม่กางเพราะน้ำแข็งมันไปเกาะ ทำอย่างไรก็ไม่ออก บินเข้าไปใกล้มากจนไม่มีเวลาแก้ไข กัปตันจึงตัดสินใจยกเลิกการลงจอด โกอราวนด์ (Go-around)ขึ้นไปใหม่ ตอนดึงหัวขึ้นใหม่นี่มันล่กไปหมด เพราะง่วงทั้งคู่นี่แหละ เที่ยวบินวันนั้นไม่มีนักบินที่สามมาผลัดกันบินเสียด้วย
พอตั้งหลักได้ ผมหยิบคู่มือวิธีแก้ไขกรณีฉุกเฉิน (Emergency/malfunction checklist) ออกมาทำตาม สรุปได้ว่า ถึงแม้ว่าสแลทจะไม่กาง ก็ไม่เป็นไร แต่จะต้องใช้ความเร็วสูงกว่าปกติ เพื่อให้เครื่องบินรักษาแรงยกเอาไว้ได้ในช่วงบินลงจอด พอพร้อมแล้ว กัปตันก็พาเครื่องบินเข้าสู่ไฟนอล(Final) ความเร็วตอนนั้นจะสูงกว่าปกติค่อนข้างมาก สิ่งที่ตามมาคือ ระยะทางที่ใช้ในการเบรคให้เครื่องจอดบนรันเวย์จะต้องมากขึ้น ทั้งกัปตันและผมต่างก็ลุ้นให้มันจอดหยุดก่อนปลายรันเวย์ ตอนนั้นแทบไม่ได้พูดกันเลย หัวใจแทบจะหลุดออกมาเมกะแด๊นซ์
เครื่องบินร่อนลงจอดเหมือนปกติ เพียงแต่ความเร็วมันสูง เครื่องแตะพื้นปุ๊บ กัปตันท่านก็เบรคเต็มที่พร้อมกับดึงทรัสท์รีเวอร์สเซอร์ (Thrust reversers) เต็มที่เพื่อให้มันหยุดเร็วที่สุด เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่น ภาพข้างๆรันเวย์มันเร็วมากจนสุดท้ายมองเห็นไฟปลายรันเวย์สีแดงชัดขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเครื่องหยุดอยู่ปลายรันเวย์พอดี หัวใจผมเต้นตูมตามจนเครื่องบินไปจอดที่หลุมจอดนั่นแหละถึงเริ่มผ่อนคลายลง
ลงจากเครื่องบินเพื่อนั่งรถไปโรงแรมที่พักเพื่อพักผ่อน แต่ก็นอนไม่หลับเพราะยังตื่นเต้นไม่หาย ความเป็นความตายมันใกล้แค่เอื้อม ชีวิตนักบินก็เป็นอย่างนี้ครับ วันที่ไม่มีอะไร มันก็ช่างสบายเสียจริง ดูเหมือนไม่ทำอะไรเลย ลูกเรือหลายท่านก็ชอบแซวว่านักบินสบายจังนิ นั่งอยู่ในค๊อกพิทสบายใจไม่ต้องทำงาน แต่ถ้าวันไหนดวงตกงานเข้า ก็แทบจะอ๊วกเลยครับท่านผู้ชม แล้วไอ้ตอนที่ล่กๆนี่ก็ไม่มีใครมาเห็นเสียด้วยสิ ปิดทองหลังพระกันไป แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ทำให้ทุกชีวิตถึงที่หมายอย่างปลอดภัยก็ดีใจแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น