โลว์คอสต์... ไฮโวลุ่ม
ในยามที่เศรษฐกิจโลกตกสะเก็ด ฝืดเคืองกันไปหมดในรอบหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ยังมีข่าวดีอยู่บ้างเรื่องราคาน้ำมันในตอนนี้ที่ลดฮวบฮาบ แต่ค่าอาหารระดับคลาสสิคทั้งหลายแหล่อย่างเช่นกะเพราะไก่ไข่ดาว ของโปรดของผมที่ขึ้นเอาๆไม่ยักกะลงไปเหมือนที่ขึ้นมาเรื่อยๆเพราะอ้างว่าน้ำมันกับแก๊สมันแพง อย่างนี้มันเรียกว่า เตะหมูเข้าปากหมาไปแล้ว คงยากที่จะง้างปากมันเพื่อเอาคืนบ้าง
การเดินทางด้วยเครื่องบิน เริ่มป๊อปปูล่าร์ขึ้นเรื่อยๆ เพราะความสะดวกสบายในการเดินทางที่เวลาสั้นลงมากถ้านับเฉพาะชั่วโมงบิน อย่าไปนับตอนนั่งรถแท๊กซี่จากบ้านไปสนามบินสุวรรณภูมิที่มีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์อันน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง หรือตอนที่ต้องขับรถไปหาที่จอดที่สนามบินดอนเมือง ที่จอดรถหายากยิ่งกว่าทอง แถมยังต้องล๊อคพื้นที่จอดรถไว้ให้ท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งนะจ๊ะ
กลับมาเรื่องของเราดีกว่า ตอนนี้เรื่องราวเกี่ยวกับโลวคอสต์กำลังอินเทรนด์เพราะเจ้าของรถทัวร์ท่านบอกว่าลูกค้าหายไปเยอะ จะอยู่กันไม่รอด ขอร้องให้ช่วยไปควบคุมการกำหนดราคาสายการบินโลวคอสต์ได้หรือไม่ กลายเป็นมหากาพย์ระดับชาติ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ท่านที่เชียร์สายการบินโลว์คอสต์ต่างให้ความเห็นเสียดสีคุณเจ๊เกียว นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสาร หาว่าไม่กลับไปดูต้นทุนของรถทัวร์บ้างหล่ะว่าทำไมทำอย่างสายการบินไม่ได้ ราคาตั๋วเครื่องบินตอนนี้บางสายการบิน และก็มีไม่กี่ที่นั่ง ลงโฆษณาค่าตั๋วที่ถูกกว่าเดินทางโดยรถทัวร์ซะอีก ในขณะที่ฟากกองเชียร์ท่านรัฐมนตรีก็ออกมาบอกว่า สายการบินโลว์คอสต์หน่ะมันต้มตุ๋นฮั้วกันตัดราคา ตั๋วเครื่องบินราคาที่ว่าถูกแสนถูกนี่มันยังไม่ได้รวมเบี้ยบ้ายรายทางจิปาถะ ไหนจะค่าประกันการเดินทาง ไหนจะค่าโหลดกระเป๋าในกรณีที่ขนไปเกินน้ำหนักที่อนุญาติ และอื่นๆอีก เถียงกันไม่จบในชาตินี้ถ้าไม่พูดความจริงกันทั้งสองฝ่าย
ว่าไปแล้ว การเดินทางโดยเครื่องบินที่มากขึ้นเป็นลำดับ มันเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย นักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยด้วยกันเริ่มหาข้อมูลกันได้เองไม่ต้องง้อเอเจนซี่ขายตั๋วเหมือนสมัยก่อน เดี๋ยวนี้มีสมาร์ตโฟน ไอแพดหรือโน๊ตบุ๊คสักตัว นำติดตัวเดินทางไปด้วยได้ตลอด อยากรู้อะไรก็ต่อไวไฟหาข้อมูลได้ดั่งใจนึก ไม่เหมือนรุ่นป้ารุ่นลุงที่เวลาอยากได้ข้อมูลต้องใช้หนังสือแนะนำ หรือต้องโทรถามการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือแม้กระทั่งต้องถามไถ่คนที่เคยใช้บริการ ค่าใช้จ่ายเวลาเดินทางท่องเที่ยวในประเทศแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่จะถูกมากติดอันดับโลกอยู่หลายเมือง จึงไม่น่าแปลกใจที่บรรดานักเดินทางแบ๊คแพคเกอร์อยากจะมาลิ้มรสผลไม้ไทย ไปชิลล์ๆตามชายหาด หรือแม้กระทั่งปั่นจักรยานที่ค่าเช่าแค่ไม่ถึงร้อยบาทเพื่อเที่ยวชมเมือง เหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้นักธุรกิจสายการบินหันมาแย่งเค๊กก้อนนี้กัน แน่นอนว่านักท่องเที่ยวโลว์คอสต์คงจะไม่ต้องการจ่ายค่าตั๋วแพงเพื่อเดินทางเพราะต้องเก็บงบประมาณเอาไว้ ดังนั้นการมองหาตั๋วราคาถูกในโลกออนไลน์จึงเป็นอะไรที่ธรรมดามาก สายการบินโลว์คอสต์ไหนทำตลาดอย่างนี้เก่ง ก็คงกวาดลูกค้าได้เยอะ
โลว์คอสต์ ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เค้าบริการท่านตามอัตภาพ ที่นั่งก็พอนั่งให้อึดอัดเล็กน้อยสำหรับคนตัวอวบๆและขี้รำคาญ เรื่องอาหารการกินอย่าไปหวัง น้ำดื่มก็ไม่มีนะในบางสายการบิน ถ้าอยากจะดื่มต้องจ่ายเงินซื้อ คนที่ขึ้นเครื่องบินบ่อยๆเค้าใช้วิธีไปซื้อน้ำในเทอร์มินอลหรือดื่มไปก่อนขึ้นเครื่อง ถ้านั่งใกล้ๆแค่หนึ่งชั่วโมงคงไม่ถึงกับคอแห้งจนอยู่ไม่ได้ อีกอย่างนึงไม่ต้องลุกไปฉี่ด้วย กระเป๋าสัมภาระก็หนีบขึ้นเครื่องกันไปเหมือนรถเข็นผัก ไม่อยากโหลดใต้ท้องเครื่องเพราะขี้เกียจรอกระเป๋าตอนลงจากเครื่อง สรุปง่ายๆคือทนเอา เพื่อประหยัดเงินเอาไว้ลั้ลลาที่จุดหมายปลายทางตามฐานะของแต่ละคน
เวลาที่สายการบินจะเปิดเส้นทางบินใหม่หรือจะเพิ่มความถี่เที่ยวบิน จะต้องวิเคราะห์ความต้องการก่อนว่ามีมากน้อยแค่ไหน อยู่ดีๆคงไม่มโนเอาเองว่าเปิดแล้วจะมีคนมาซื้อตั๋วเราเพราะของเรามันดี ตั๋วเครื่องบินมันไม่เหมือนกระเป๋าหลุยส์ที่แบบว่าซื้อเพราะภูมิใจที่ได้ใช้มัน คนเรามันจะต้องการเดินทางจึงจะซื้อตั๋ว ดังนั้นจะไปเปิดเส้นทางสุ่มสี่สุ่มห้าแบบขอไปก่อนเผื่ออนาคตมันจะดีก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าของสายการบินไหนคิดได้อย่างนี้ก็คงต้องรอวันเจ๊ง
ปัจจัยสำคัญของการเดินทางของนักท่องเที่ยวแบบโลว์คอสต์คือ ค่าครองชีพของเมืองที่จะไป ลองมาดูกันเล่นๆนะครับว่า เมืองไหนบ้างในย่านอาเซียนที่มีค่าครองชีพถูกแสนถูกจนน่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวประเภทแบ๊คแพ๊คให้ไปนั่งเล่นนอนเล่นกันสักอาทิตย์สองอาทิตย์ ไล่จากถูกไปหาแพงทั้งสิ้นสิบอันดับ โดยการรวบรวมข้อมูลของ www.priceoftravel.com คิดทุกอย่างจากการใช้จ่ายแบบมินิมอลแต่ก็ครอบคลุมความจำเป็นของชีวิตทุกอย่าง ประมาณนั่งรถเมล์ไปเที่ยวสถานที่ป๊อปปูลาร์ของเมืองนั้น ทานอาหารท้องถิ่น นอนโรงแรมระดับสามดาวที่อยู่ใกล้ย่านท่องเที่ยวยอดนิยม แถมยังรวมค่าเบียร์ยี่ห้อโลคอลอีกสองกระป๋องด้วยนะจ๊ะ
1.ฮานอย เมืองหลวงของประเทศเวียดนาม นำมาเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียนด้วยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 17.42 USD ต่อวัน
2.โฮจิมินห์ซิตี้ หรือไซง่อน ประเทศเวียดนาม ตามมาติดๆเป็นอันดับสองด้วยค่าใช้จ่าย 17.74 ยูเอสดอลล่าร์
3.เชียงใหม่ ไทยแลนด์ ช่วยกู้ชื่อช้างศึกเอาไว้ด้วยค่าใช้จ่าย 19.85 USD ต่อวัน
4.เวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศลาว วัฒนธรรมที่น่าสนใจ อารมณ์ท่องเที่ยวประมาณอยู่ในเมืองเล็กๆในต่างจังหวัดของบ้านเรา ผมชอบเวียงจันทน์มากโดยเฉพาะเบียร์ลาวที่รสชาตินุ่มลิ้นปนน่ารักแบบสาวเวียงจันทน์ ตามเชียงใหม่มาเป็นอันดับสี่ ด้วยค่าใช้จ่าย 20.22 USD
5.หลวงพระบาง อดีตเมืองหลวงเก่าของประเทศลาว อากาศเย็นสบายในเกือบทุกฤดูกาล โรงแรมค่อนข้างแพง จึงควรใช้บริการโฮสเตลมากกว่าถ้าอยากประหยัด มาเป็นอันดับห้าด้วยค่าใช้จ่าย 23.51 USD ต่อวัน
6.พนมเปญ เมืองหลวงของประเทศกัมพูชา มีดีตรงเบียร์ไม่อั้นช่วงแฮปปี้อาวร์ตามร้านอาหารริมแม่น้ำ รวมไปถึงวัฒนธรรมและด้วยความที่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างเดินทางไปเที่ยวเสียมเรียบที่มีปราสาทนครวัด จึงมีนักท่องเที่ยวแวะมานอนเล่นกันมากพอควร มาเป็นอันดับที่หก ด้วยค่าใช้จ่ายที่ 23.75 USD
7.ฮอยอัน เวียดนาม เมืองชายทะเลที่สวยงามที่อยู่ทางใต้ของเมืองดานัง มีหมู่บ้านชาวประมงแบบจีนๆที่เค้ารักษาเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาเดินเล่นจิบเบียร์เย็นๆกันยามเย็น มีค่าใช้จ่ายต่อวันที่ 23.83 USD
8.กรุงเทพมหานคร เมืองฟ้าอมร สมเป็นนครแดนฟ้าราตรี ไม่ต้องอธิบายคุณสมบัติก็คงทราบดีว่าจ๊าบขนาดไหน เป็นสถานที่ที่นักเดินทางแบ๊คแพคหลงไหลได้ปลื้มว่าต้องมาให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต จริงๆแล้วค่าครองชีพจะถูกกว่านี้ถ้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่แพง พวกขาเมาเลยเซ็งนิดนึงตรงนี้ กรุงเทพเข้ามาเป็นที่แปดในย่านอาเซียน ด้วยค่าครองชีพเฉลี่ย 24.83 USD
9.จาการ์ต้า อินโดนีเซีย เมืองหลวงใหญ่ที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ใครอยากมาเที่ยวอินโดนีเซีย ถ้าไม่สนใจบาหลีก็จะมาเริ่มต้นที่นี่ทั้งนั้น มีทุกอย่างที่คุณต้องการในราคาถูกเป็นอันดับที่เก้าในย่านอาเซียน สนนราคาค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 26.84 USD ต่อวันเท่านั้น
10.มะนิลา เมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศที่ถูกหวยเรื่องพายุไต้ฝุ่นได้ทุกปี มาเป็นอันดับที่สิบ ด้วยค่าใช้จ่าย 27.49 USD ต่อวัน
ถ้าปัจจัยค่าใช้จ่ายจะเป็นแฟคเตอร์สำคัญในการเดินทางของแบ๊คแพ๊คเกอร์ ก็เชื่อได้ว่าเที่ยวบินจากทุกมุมโลกคงจะหันหัวเครื่องบินไปลงเวียดนามเยอะขึ้นแน่ๆในอนาคต อันนี้คงต้องเป็นการบ้านให้โลว์คอสต์แอร์ไลนส์บ้านเราได้ขบคิดกันว่าจะมีกลเม็ดเด็ดพรายอะไรไปสู้กับสายการบินเพื่อนบ้านของเราเพื่อแบ่งเค้กก้อนโตในอนาคตที่กำลังจะมาถึง
---------------------
ภาพประกอบจาก
ติดตามอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการบินและนักบินได้ที่ www.nuckbin.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น