28 พฤษภาคม 2558

Introduction to pilot(2)

Introduction to pilot(2)

เดือนกรกฎาคม ปีพศ.2538 เรืออากาศโทมเหศักดิ์ วงษ์ปา นักบินฝึกหัดของบริษัทการบินไทยและเพื่อนพ้องรวม16คน เดินทางจากหัวหินมารายงานตัวที่บริษัทการบินไทย ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสหน้าสดเพราะกลับมาอยู่ในแสงสีกับปีกที่สวยๆ อากาศบริสุทธิ์ที่ชายหาดหัวหินกับควันรถเหม็นหืนที่กรุงเทพช่างต่างกันลิบลับ พวกเราถูกจัดให้เข้าอบรม Orientation course มีพนักงานใหม่จากหน่วยอื่นเข้าเรียนพร้อมกัน ข้อมูลของบริษัทการบินไทยมหาชนหลั่งไหลเข้ามาให้รับทราบ เป็นการปูพื้นฐานให้พวกเราทุกคนได้เข้าใจในสิทธิ์ บทบาทและหน้าที่ จากนั้นก็เริ่มเรียน Basic course ของนักบิน อันได้แก่ความรู้ทั่วไปในการบิน เอกสารการบินของบริษัท กฏระเบียบในการบินอันได้แก่ข้อมูลต่างๆใน Flight Operations manual ซึ่งเดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น Operations manual 

จากนั้นไม่นาน พวกเราได้รับทราบว่าจะต้องไปเรียนเป็นนักบินที่สาม หรือที่เรียกว่า System operator ของเครื่องบินแบบ Airbus A300B4 ซึ่งเป็นเครื่องบินรุ่นที่ต้องใช้นักบินสามคน สองคนนั่งอยู่ด้านหน้าเป็นกัปตันและโคไพล๊อต อีกหนึ่งคนนั่งอยู่ด้านหลังคอยควบคุมแผงเครื่องวัดระบบต่างๆรวมไปถึงทำงานจิปาถะเพื่อช่วยบริการให้กัปตันและนักบินผู้ช่วย เราต้องไปเบิกคู่มือการบินต่างๆจากหน่วยงานดูแลเอกสารการบินมาศึกษา แมนนวลการบินหนาหลายร้อยหน้าต้องอ่านและจำสิ่งสำคัญให้ได้ทั้งหมด ระบบต่างๆของเครื่องบินค่อนข้างซับซ้อน ไฮโดรลิค นิวเมติค น้ำมัน ไฟลท์คอนโทรล แลนดิ้งเกียร์ ไฟฟ้า และอื่นๆอีกมากมายไหลผ่านตาทั้งสองข้างจนมึนไปหมด ครูภาคพื้นที่กองโรงเรียนให้เราศึกษาด้วยตัวเองด้วย และเข้ามาบรีฟให้เราฟังด้วยเพื่อเป็นแนวทาง ช่วงนั้นพวกผมต้องทุ่มเทกันหนักถึงกับต้องมาเช่าหอพักอยู่ด้านหลังบริษัทเพื่อสะดวกต่อการเรียนรู้ร่วมกัน ไม่อย่างนั้นต้องพะวักพะวงเดินทางไปกลับทุกวัน เสียเวลาอ่านหนังสืออย่างมาก

ผมกับเพื่อนอีกสามคนตกลงใจเช่าหอพักด้านหลังบริษัทอยู่ด้วยกัน แชร์กันจ่ายรายเดือนในสนนราคาที่พอรับกันได้ เช้ากลางวันและเย็น พวกเราขลุกกันอยู่ด้วยกันตลอดยกเว้นเวลาเข้าส้วมเท่านั้น เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสนุกและเครียดปะปนกันไป เวลาที่ต้องเข้าเรียนและสอบค่อนข้างรวดเร็วเนื่องจากการจัดตารางเรียนและสอบที่แน่นมาก แต่เมื่อมีเวลาว่างบ้างในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ก็รวมตัวกันออกไปแร่ดบ้างตามประสาหนุ่มวัยกลัดมัน สถานที่ที่ไปกันบ่อยก็คือลานโบว์ลิ่งแถวบริษัท โยนโบว์กันไป ติวกันไป จิบเบียร์วุ้นเหล่สาวบ้างประปรายพอให้หายเครียด 

หลังจากสอบข้อเขียนเสร็จแล้ว ผ่านช่วงเวลาเผาหลอกไปแล้ว ก็ถึงเวลาเผาจริง เราต้องสอบออรัลเทสต์(Oral test) โดยครูที่กองโรงเรียนจะให้เราเข้าไปนั่งในซิมมูเลเตอร์เครื่องบินแบบ A300B4 แล้วป้อนคำถามเกี่ยวกับระบบเครื่องบินต่างๆให้เราตอบปากเปล่าปราศจากหนังสือ โดยมีเจ้าหน้าที่ของกรมการบินพลเรือนมานั่งฟังด้วยและเป็นผู้ให้ความเห็นว่าเราควรสอบผ่านหรือไม่ ผมเป็นคนแรกของรุ่นเลยที่ต้องสอบ จำได้ว่าเครียดมากเพราะครูใหญ่เข้ามาไซโคตั้งแต่ก่อนเข้าสอบว่า ถ้าตกต้องเรียนใหม่ และต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะได้สอบอีกครั้ง นั่นหมายถึงซีเนียรีตี้ของพวกเราด้วยที่ต้องไปต่อท้ายเพราะสอบตก ก่อนวันที่ผมเข้าสอบ รถของพ่อที่ผมยืมมาขับมาดันเสียซะอีก ลางไม่ดีซะแล้วตรู

ถึงเวลาเข้าสอบแล้ว ผมเข้าไปนั่งในซิมพร้อมกับครูและเจ้าหน้าที่กรมการบินพลเรือน คำถามเด็ดๆถูกถามโดยครูใหญ่ของพวกเรา หน้าตาแกจริงจังมากจนผมตื่นเต้นและประหม่า ไอ้ที่เตรียมมาเต็มร้อยลดเหลือแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์  ความคิดของผมเองคิดว่าตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในตอนนั้น ผมเหมือนตกเข้าไปในขุมนรกที่ไหนสักแห่งในโลกใบนี้ พอหมดเวลา ครูส่ายหน้าอย่างแรง ผมคิดได้อย่างเดียว 

“กูตกแน่”

อ๊ะ อ๊ะ หาเป็นเช่นนั้นไม่ ครูพูดว่า น่าจะทำได้ดีกว่านี้เพราะคาดหวังว่าคนแรกที่มาสอบน่าจะเนียนกว่านี้ แหมครูครับ ละอ่อนอย่างผมจะไปเนียนตั้งแต่วันแรกได้อย่างไร แล้วแกก็บอกว่ายอมให้ผ่านนะ แต่ต้องอ่านหนังสือให้มากกว่านี้ โอเคมั๊ย? โอเคมากครับ ยกมือวันทากราบแทบอก แล้วรีบเดินออกจากซิม กลัวแกจะเปลี่ยนใจเรียกกลับมาสอบใหม่อีกรอบ 

โล่งอกไปเปลาะนึง ผมผ่านแบบเฉียดฉิวแต่ก็เป็นการเปิดแผลให้เพื่อนที่มาสอบต่อไปต้องเครียดหนัก กลายเป็นว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เข้าสอบ ตกไปครึ่งรุ่น ต้องไปเริ่มเรียนกันใหม่ตั้งแต่ต้น 

ก่อนจะเดินทางต่อไปกับกระผม พักชมโฆษณาสักครู่นะครับ!!!
————————
ติดตามบทความเก่าที่เขียนไว้ได้ที่
www.nuckbin.blogspot.com

www.facebook.com/nuckbin

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น